โชว์เทคโนโลยีกำจัดจุดอ่อนเงาะเปลี่ยนสี ผลเน่าไว

956

กรมวิชาการเกษตร โชว์เทคโนโลยีลดการสูญเสียระหว่างการขนส่งและการเก็บรักษาเงาะพันธุ์โรงเรียน แก้ปัญหาเปลือกและขนเงาะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล ผลเน่าเร็ว หนุนใช้ชีวภัณฑ์แบคทีเรียคุมโรคเน่าแทนสารเคมี ช่วยยืดอายุการเก็บรักษาได้นาน ปลอดภัยต่อผู้บริโภค แนะเกษตรกรเก็บเกี่ยวเงาะระยะ 3 สี ตัดขั้วผลด้วยกรรไกรช่วยลดการทำลายเชื้อราต้นเหตุโรคผลเน่า

นางสาวเสริมสุข สลักเพ็ชร์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร เปิดเผยว่า เงาะเป็นไม้ผลเศรษฐกิจหลักชนิดหนึ่งของประเทศไทยในปี 2562 มีปริมาณผลผลิตเงาะรวมทั้งประเทศ 280,166 ตัน แต่ที่ผ่านมาการส่งออกเงาะสดไปจำหน่ายตลาดต่างประเทศมีไม่ถึง 5 เปอร์เซ็นต์ของผลผลิตที่ผลิตได้ โดยพบปัญหาสำคัญคือการเกิดสีน้ำตาลของเปลือกและขนเงาะรวมทั้งการเกิดอาการผลเน่าอย่างรวดเร็ว ซึ่งมีสาเหตุมาจากภายหลังการเก็บเกี่ยวผลเงาะมีการสูญเสียน้ำอย่างรวดเร็ว เนื่องจากบริเวณขนเงาะมีปากใบจำนวนมาก ที่ปลายขนยังมีขนเล็กๆ ทำให้เพิ่มพื้นที่ผิวในการคายน้ำและภายใต้อุณหภูมิและความชื้นสัมพัทธ์ ทั่วไป เปลือกเงาะจะเปลี่ยนแปลงเป็นสีน้ำตาลและเหี่ยวแห้งได้ภายในระยะเวลา 3 – 4 วัน

กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร กรมวิชาการเกษตร ได้ศึกษาวิจัยหาเทคโนโลยีชะลอปัญหาการเกิดสีน้ำตาลของเปลือกและขนเงาะพันธุ์โรงเรียน เพื่อแก้ปัญหาให้สามารถส่งออกผลเงาะสดไปยังต่างประเทศได้ในปริมาณที่เพิ่มขึ้น ซึ่งผลจากการวิจัยพบว่าอุณหภูมิและความชื้นสัมพัทธ์เป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อคุณภาพและอายุการเก็บรักษา และการใช้บรรจุภัณฑ์ที่เหมาะสมสำหรับการขนส่งและการเก็บรักษาสามารถช่วยควบคุมอุณหภูมิและความชื้นสัมพัทธ์ในระหว่างการขนส่งและการเก็บรักษาให้คงที่และลดการสูญเสียน้ำทำให้ชะลอการเปลี่ยนแปลงสีเปลือกและสีขนของเงาะได้ 

นอกจากนี้ ผลจากการวิจัยยังพบสาเหตุสำคัญอีกประการหนึ่งที่ทำให้ผลิตผลเสื่อมสภาพอย่างรวดเร็วมาจากการเข้าทำลายของเชื้อราที่ก่อให้เกิดอาการผลเน่าจึงจำเป็นต้องใช้สารป้องกันและกำจัดโรคพืชหลังการเก็บเกี่ยว  อย่างไรก็ตามการใช้สารเคมีนั้นต้องคำนึงถึงคุณภาพและความปลอดภัยของผู้บริโภคเป็นสำคัญ  ดังนั้นงานวิจัยนี้จึงได้นำชีวภัณฑ์แบคทีเรียเพื่อควบคุมโรคผลเน่ามาใช้ทดแทนการใช้สารเคมีป้องกันกำจัดเชื้อรา เพื่อเป็นการพัฒนาเทคโนโลยีการยืดอายุการเก็บรักษาเงาะสดให้นานขึ้นและมีความปลอดภัยต่อผู้บริโภค

อธิบดีกรมวิชาการเกษตร กล่าวว่า ผลงานวิจัยนี้ทำให้ได้วิธีการจัดการหลังการเก็บเกี่ยวเพื่อลดการสูญเสียหลังการเก็บเกี่ยวของเงาะพันธุ์โรงเรียน โดยพบว่าระยะการเก็บเกี่ยวเงาะที่เหมาะสมคือในระยะสามสีที่เปลือกยังเป็นสีแดงอ่อนและขนเงาะยังเป็นสีเขียว ซึ่งเป็นระยะที่ทำให้สามารถเก็บผลเงาะได้นานขึ้น และการตัดขั้วผลเงาะให้ชิดผลด้วยกรรไกรแทนการปลิดด้วยมือ สามารถลดการเข้าทำลายของเชื้อราซึ่งเป็นสาเหตุการเกิดโรคผลเน่าหลังการเก็บเกี่ยวได้ รวมทั้งการล้างผลเงาะด้วยน้ำสะอาดและแช่ในชีวภัณฑ์แบคทีเรีย Bacillusamyloliquefaciens  DL9 อัตรา 100 กรัมต่อน้ำ 10 ลิตร นาน 5 นาที  สามารถลดการเกิดโรคผลเน่าของเงาะในระหว่างการเก็บรักษาได้และมีความปลอดภัยต่อผู้บริโภค

ส่วนการยืดอายุผลเงาะให้มีความสดใหม่ให้ใช้วิธีบรรจุผลเงาะในถุงพลาสติกชนิด LDPE ความหนา 25 ไมครอน และมีอัตราการซึมผ่านก๊าซออกซิเจน 10,000-12,000 ลูกบาศก์เซนติเมตร/ตารางเมตร/วัน  จะช่วยลดการคายน้ำของผลเงาะและลดอาการเปลือกสีน้ำตาลของเปลือกและขนเงาะได้ดี  ทำให้สามารถเก็บรักษาผลเงาะให้มีความสดใหม่ได้นานขึ้น   โดยอุณหภูมิที่เหมาะสมในการเก็บรักษาหรือขนส่งเงาะคืออุณหภูมิ 13 องศาเซลเซียส ความชื้นสัมพัทธ์ 90-95 เปอร์เซ็นต์

การพัฒนางานวิจัยเพื่อเพิ่มปริมาณการส่งออกเงาะสดไปยังประเทศคู่ค้าของไทยถือเป็นเรื่องที่สำคัญ แม้ไทยจะมีความได้ปรียบในด้านศักยภาพการผลิตเงาะที่มีคุณภาพและเส้นทางการส่งออกที่สะดวกกว่าแต่ในสถานการณ์ปัจจุบันที่ประเทศในกลุ่มอาเซียนหลายประเทศที่มีพื้นที่ปลูกเงาะพยายามผลักดันการส่งออกเงาะสดไปจำหน่ายยังประเทศต่าง ๆ จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ประเทศไทยต้องพัฒนาด้านการจัดการหลังการเก็บเกี่ยวเพื่อยืดอายุการขนส่งและการเก็บรักษาเงาะสดให้ได้นานขึ้น รวมทั้งยังต้องเป็นวิธีการที่คำนึงถึงความปลอดภัยด้านสุขอนามัยของผู้บริโภคด้วย 

กรมวิชาการเกษตรพร้อมที่จะถ่ายทอดเทคโนโลยีเพื่อลดการสูญเสียระหว่างการขนส่งและการเก็บรักษาเงาะพันธุ์โรงเรียน ให้เกษตรกร  ผู้ประกอบการส่งออก  และผู้ที่สนใจได้นำไปใช้ประโยชน์และขยายผลต่อไป  โดยสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร  โทรศัพท์ 0-2579-5582 และ 0-2579-6008

กรมวิชาการเกษตร ข่าว